Addisol ep2 ปริศนาปัญหามรณะ
Problem ปัญหา ต่อจากตอนที่แล้วหากไม่ได้อ่านตอนที่แล้วควรกลับไปอ่านก่อนนะครับ (เรื่องราวไม่สนุก ไม่ว่างอย่าอ่าน เตือนแล้วนะครับ)
ผู้เข้าชมรวม
44
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เมื่อไปถึงที่บ้านที่ผมจะต้องไปอยู่ ผมก็คิดว่าบ้านคงมีรูปร่างหน้าตาแปลกๆแน่เลย แต่ผมก็คิดผิดเพราะบ้านที่ผมเข้าไปอยู่นั้นมีลักษณะคล้ายกับบ้านที่ผมเคยอยู่ในโลกก่อนเลย ทั้งเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ ทีวี ตู้เย็น แม้กระทั่งเตียงนอนที่มีหัวเตียงที่เต็มไปด้วยโมเดลจำลองดีเอนเอที่ผมสร้างขึ้นมาจากไม้ในคาบชีวะนั้น ก็ยังถูกจัดไว้ในตำแหน่งเดิม ผมคิดว่าผู้ที่ควบคุมโลกนี้อยู่อยากจะให้พวกเราที่ตายไปแล้วนั้น ได้ย้อนนึกถึงภาพเก่าๆที่เราเคยเห็น แต่ก็นะผมก็ยังคงรู้สึกได้ว่าผมได้ขาดสิ่งๆหนึ่ง เป็นสิ่งเดียวที่ผมนั้นไม่อยากจะหนีจากมาเลย สิ่งๆนั้นก็คือ fol แฟนสาวของผมเอง แต่ก็ดีแล้วที่ผมไม่เจอเธอที่นี่ และก็ขออย่าให้ได้เจอเธอในเวลาอันใกล้นี้เลย เพราะผมอยากให้เธออยู่บนโลกใบเดิมอย่างคุ้มค่าที่สุด ตราบเท่าที่เธอจะได้อยู่โลกใบนั้น ถ้าเธอไม่มีผมสักคน เธออาจจะได้เจอผู้ชายที่ดีกว่านี้ก็ได้ ความคิดที่ล่องลอยและสุดแสนจะเพ้อเจ้อของผมถูกขัดด้วยเสียงนาฬิกาคุณปู่ที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านล่างของตัวบ้าน ผมจึงคิดได้ว่าจะต้องออกไปเรียนรู้ความเป็นอยู่ของโลกใบนี้ ผมจึงไปอาบน้ำ แต่งตัวแล้วออกจากบ้านด้วยชุดสุภาพทับด้วยชุดคลุมสีดำและสวมหมวกสีดำ ผมมุ่งหน้าไปที่บ้านที่ใกล้ที่สุด แต่ระหว่างนั้นผมก็เห็นเพลิงไหม้นะบ้านหลังหนึ่ง ผู้คนต่างแห่กันไปดู แทนที่พวกเขาจะช่วยกันดับไฟ แต่พวกเขากับยืนคุยกันอย่างหน้าตาเฉย ผมเห็นแล้วสุดจะทนจริงๆ ผมจึงรีบไปหาน้ำมาดับไฟ ผมมองไปรอบๆเห็นถังน้ำขนาดใหญ่กับสายยางฉีดน้ำ ผมลากสายยางมา เกือบจะถึงที่เกิดเหตุ อยู่ๆก็มีคนมาหยุดผมเอาไว้ เขาถามผมว่า “ไอ้หนู เอ็งจะทำอะไร” “ก็ดับไฟน่ะสิ” “อย่าได้เอาน้ำราดเป็นเด็ดขาดเลย” “ผมไม่มีเวลามาเถียงกับพี่หรอกนะครับ” “เอ็งจะทำให้บ้านระเบิดหรือไง” “หา.....” หลังจากนั้นผมก็มองไปที่บ้านเจ้าปัญหาอีกครั้ง ผมก็เห็นก้อนโลหะก้อนหนึ่งวางไว้ที่หน้าบ้านเมื่อพูดถึงน้ำทำปฎิกิริยากับก้อนโลหะแล้วระเบิด ในหัวของผมนึกออกอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ก้อนโซเดียม โดยปกติแล้วธาตุพวกนี้จะทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับน้ำ ดังนั้นเวลาเก็บโซเดียมจึงต้องเก็บในน้ำมัน แต่สิ่งที่ผมยังคิดไม่ตกคืออากาศก็มีไอน้ำ แล้วทำไมก้อนโซเดียมก้อนใหญ่ขนาดนี้ถึงไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆเลย มันยังคงนิ่งเฉยตั้งเด่นอยู่อย่างนั้น หน้ามึนๆของผมทำให้คนที่เข้ามาห้ามผมเอาน้ำไปดับเพลิงนั้นเข้ามาอธิบายต่อ “นั่นคือก้อนโซเดียมที่มีสารบางอย่างเคลือบไว้ที่ผิวเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยา โดยปกติเราจะไม่พบก้อนโซเดียมบริสุทธิ์แบบนี้ แต่เราสามารถพบมันในรูปของสารปประกอบ เช่น เกลือแกง เป็นต้น หากเอ็งเอาน้ำไปฉีดแล้วสารที่เคลือบไว้หลุดออกมาละก็ มันก็แทบจะไม่ต่างจากระเบิดชั้นดีเลยล่ะ” เฮ้อผมเกือบทำให้ผู้คนต้องตายซะแล้ว “ขอบคุณครับพี่ที่เตือนผม ไม่งั้นผมคงเละเป็นโจ๊กไปแล้ว” “เออไม่เป็นไร ถ้าพี่ไม่เตือนเอ็ง พี่คงต้องเละไปตามเอ็งเหมือนกัน ว่าแต่เอ็งเถอะชื่ออะไร พี่ไม่เคยเห็นหน้าเอ็งมาก่อนเลย” “ผมชื่อ addi ครับ เรียกว่า add สั้นๆก็ได้ครับ แล้วพี่ชื่ออะไรหรอครับ” หลังจากที่ผมถามคำถามนั้นไป ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีมาจากทางด้านหลัง เสียงของเธอตอบมาว่า “เขาคือ ไอ ผู้ดูแลหมู่บ้านนี้น่ะ” ผมหันหลังกลับไปมองเธออย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรผมก็ทรุดลงไปกองกับพื้น เข่าผมอ่อนปวกเปียก ขาของผมไร้เรี่ยวแรงใดๆที่จะประคองให้ผมยืนต่อได้ นั่นเป็นใครไม่ได้เลย เธอคือ fol น้ำตาที่ไม่ได้ไหลมานานนับสิบปีของผมเอ่อล้นออกมาเองโดยที่ไม่รู้ว่าดีใจมากที่ได้เจอเธอหรือเสียใจมากที่เธอตายแล้วกันแน่ ผมไม่คิดเลยว่าผมจะได้เจอเธอที่นี่ แต่เธอก็รีบเข้ามาประคองผมหลังจากที่ผมล้มลงไป เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มแฝงไปด้วยความห่วงใยว่า “นี่คุณเป็นอะไรคะ” “fol เธอมาอยู่นี่ได้ไง” “เอ๊ะ! นี่คุณรู้จักน้องสาวฉันได้ไง” ณ นาทีนั้นผมงงและสับสนไปหมด หัวของผมเริ่มไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว แต่ก็ยังคงฝืนถามต่อไป “เธอไม่ใช่ fol หรอ” “ค่ะ ฉันเป็นพี่สาวฝาแฝดของ fol ชื่อ sol ค่ะ ดิฉันไม่ได้เจอ fol มานานแล้วค่ะ ในวันนั้นเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ fol พยายามจะช่วยฉันให้ออกมาจากรถแต่ก็สายเกินไปค่ะ ฉันหยุดหายใจทันทีตั้งแต่รถพุ่งเข้าไปชนกับหน้าผาค่ะ” ผมประหลาดใจเข้าไปอีกเพราะ fol ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเลย แต่ก็นะการเสียบุคคลที่รักไปไม่ใช่เรื่องที่น่านำมาเล่าหรอก ผมรวบรวมสติ ปาดน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุดแล้วสะบัดทิ้งลงไปที่พื้น หลังจากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจว่า “เสียใจด้วยครับ ผมชื่อ addi ครับ ผมกำลังคบกับ fol แต่โชคร้ายที่ผมโดนรถชนเสียก่อน ก่อนที่จะได้บอกรักกับเธออย่างจริงจังสักครั้งน่ะครับ” “ขอบคุณค่ะ” “ขอบคุณเรื่องอะไรหรอครับ ผมสิต้องเป็นคนขอบคุณ” “ก็ฉันไม่รู้ว่าหลังจากที่ฉันจากโลกนั้นมาเธอจะเป็นอยู่อย่างไร แต่คุณคงทำให้เธอมีรอยยิ้มและมีความสุข แค่ฉันได้รับรู้ว่าเธอยังคงมีความสุขดี แค่นี้ฉันก็ดีใจแล้วค่ะ” เสียงทุ้มต่ำของผู้ใหญ่บ้านไอ เข้ามาแทรกจังหวะการสนทนาของผม “เฮ้ เดี๋ยวค่อยไปถามสุขทุกข์กันทีหลัง ก่อนอื่นเราต้องมาคิดก่อนว่าใครเป็นมือลอบวางเพลิงในครั้งนี้ แต่ตอนนี้ยังคงทำอะไรไม่ได้จนกว่าพนักงานดับเพลิงจะมา” ไฟที่กำลังโชติช่วงอยู่นั้นเริ่มมอดดับลงด้วยฝีมือของฮีโร่ในชุดคลุมสีหลือง หลังจากที่พนักงานได้ตรวจสอบสิ่งต่างที่หลงเหลืออยู่นั้น พวกเขาได้พบไฟแช็คที่มีรอยนิ้วมือติดอยู่ ใกล้ๆกันนั้นพบสารเรืองแสงที่ทำเป็นทางยาวเข้าไปในบ้านจากประตูทางเดินไปจนถึงโต๊ะที่มีเศษขี้เถ้าใบไม้อะไรสักอย่างกองอยู่ ไม่ใกล้ไม่ไกลก็เจอกองกระดูกที่ถูกเผาจนดำสนิท หลังจากการดับไฟได้เสร็จสิ้นลง ไม่นานนักเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ประกาศสิ่งที่พบเจอให้ถึงคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ทราบ โดยปกติแล้วโลกเดิมที่ผมเคยอยู่นั้นคงไม่ทำอย่างนี้แน่เพราะจะเป็นการทำให้คนร้ายมาทำลายหลักฐาน แต่แน่นอนว่าผมอยู่ในโลกที่ถูกบีบบังคับให้คิดทุกวันดังนั้นคนที่อยู่ที่นี่คงมีความคิดดีๆหรือหลักฐานสำคัญหรือเป็นพยานที่จะนำไปสู่การหาตัวคนร้ายได้ นี่คงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ปัญหาทุกอย่างถูกแก้ไขได้เร็วขึ้น หูดีๆของผมดันไปได้ยินเสียงของคู่สนทนาคู่หนึ่งพูดคุยกันว่า “ ‘สมน้ำหน้าแล้วล่ะที่ต้องมาตายในบ้านตัวเอง’ ‘นั่นสินะ อยู่ไปก็คงสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเปล่า’ ‘ใช่ๆ เมื่อวานก็กินเหล้าโหวกเหวกโวยวายเสียงดังลั่นไปทั้งซอย สงสัยคงเมาไม่รู้เรื่องจนคิดอะไรแผลงๆประมาณเผาบ้านตัวเองแน่เลย’ ” ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการรู้ความจริง ผมจึงต้องเก็บข้อมูลไว้ให้มากที่สุดเพื่อใช้ในการตั้งสมมติฐานที่สอดคล้องกับความจริงให้มากที่สุด ผมจึงเดินเข้าไปถามคู่สนทนานั้น “ เอ่อ..ขอโทษครับ ขออนุญาตถามอะไรหน่อยนะครับ คือเมื่อวานคนที่ตายเขาโวยวายว่าอะไรหรือครับ” “อ๋อ เขาไม่ได้โวยวายอะไรหรอกแต่เหมือนกับเขาจะตะโกนซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘เธอจะรักหรือไม่รัก’ อะไรประมาณนี้น่ะ” “แล้วพวกคุณน้ารู้ได้ไงครับว่าเขาเมา” “คือหมอนี่นั่งกินเหล้าอยู่ในบาร์ทุกวันน่ะ ถ้ากินแล้วไม่โวยวายคงไม่มีใครรังเกียจเขาหรอก” “แปลว่าคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้มีสิทธิ์ที่จะเป็นคนร้ายได้หมดสินะครับ” “ใช่จ้ะพ่อหนุ่มน้อย” “อ่าฮะ ขอบคุณครับ” หลังจากที่ผมซักถามเสร็จผมก็กลับไปดูที่ๆเกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง ผมได้ข้อมูลมาใหม่ว่า ไฟแช็คที่เจอนั้นแทบจะไม่ถูกเผาเลยแถมยังมีรอยนิ้วมือชัดเจนของผู้ตายติดอยู่เพียงแค่คนเดียวอีกด้วย ผมจึงเข้าไปถามพนักงานว่าทำไมไฟแช็คถึงแทบจะไม่มีรอยไหม้เลย เขาบอกว่า “พอดีมันคงไถลแล้วเผอิญไปอยู่ใต้กระดาษฟอยล์พอดี มันเลยแทบจะไม่ถูกเผา ตอนที่เจอเราพบมันอยู่ใต้กระดาษฟอยล์น่ะ” พอได้หลักฐานนี้ผู้คนต่างก็เลิกมุงแล้วเริ่มบ่นๆกันว่า “อะไรกัน ไม่มีคนร้ายหรือ ........” ต่างคนต่างกลับบ้านตัวเองแต่ผมยังคงสงสัยอยู่ว่าสารเรืองแสงนี่เกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่
ผลงานอื่นๆ ของ Waii AhU ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Waii AhU
ความคิดเห็น